apple stories
Gravity Water ซึ่งได้รับเงินทุนจาก Apple เตรียมความพร้อมให้ผู้ดูแลรักษาน้ำรุ่นต่อไปในเวียดนาม
Gravity Water ใช้เทคโนโลยีการเก็บกักและกรองน้ำฝนที่ล้ำสมัยและทนต่อสภาพภูมิอากาศในการจัดหาแหล่งน้ำสะอาดให้แก่นักเรียนจำนวนกว่า 38,000 คนในจังหวัดฮหว่าบิ่ญ
ทะเลสาบฮหว่าบิ่ญที่น้ำนิ่งและเงียบสงบทอดตัวคดเคี้ยวไปรอบอำเภอด่าบั๊ก จังหวัดฮหว่าบิ่ญ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบททางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ตามริมฝั่งมีครอบครัวเกษตรกรอาศัยอยู่อย่างประปราย และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผืนน้ำที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านขึ้นอยู่กับแหล่งทรัพยากรที่ทะเลสาบแห่งนี้มีให้ ทั้งกุ้งและปลาน้ำจืด รวมถึงน้ำจากตัวทะเลสาบเองด้วย ในยามที่ธารน้ำตามธรรมชาติซึ่งไหลลงมาจากภูเขาด้านบนนั้นไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูแล้ง
แต่ในสถานที่อันสวยงามเช่นนี้ ที่ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีน้ำกินน้ำใช้มากเกินพอ ชาวบ้านแถบนี้หลายคนกลับพบว่าน้ำในทะเลสาบนั้นไม่ปลอดภัย ในบางครอบครัวของชนเผ่า "เย้า" ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อพยพย้ายถิ่นฐานมายังเวียดนามตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 12 มีความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นว่า เทพแห่งสายน้ำ หรือพระพิรุณ จะประทานพรให้กับมนุษย์ก็ต่อเมื่อมนุษย์ทำดีต่อน้ำ
"ถ้าเราทำน้ำสกปรก เทพแห่งสายน้ำก็จะลงโทษพวกเราอย่างสาสม" เจิ่น ถิ ลาน เฮือง ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียนประจำระดับประถมและมัธยมศึกษาสำหรับชนกลุ่มน้อยไวนัว กล่าว และ หมั่น ซวน ฟุก ซึ่งเป็นลูกชายของเธอก็เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 ที่โรงเรียนแห่งนี้ "เราจึงพยายามดูแลแหล่งน้ำให้สะอาดอยู่เสมอ"
ในหลายๆ กรณี การดูแลรักษาคุณภาพของน้ำเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของชุมชนริมฝั่งทะเลสาบ เพราะหากไม่มีระบบกรองน้ำที่เหมาะสมแล้ว น้ำบาดาลที่วิดขึ้นมาจากบ่อน้ำที่ได้รับความเสียหายก็จะมีแคลเซียมและโลหะอื่นปนเปื้อน ส่วนธารน้ำที่ไหลลงมาจากบนเขาก็ถูกผันไปใช้เพื่อการเกษตรในชีวิตประจำวัน อย่างการทดน้ำเข้านาและการเลี้ยงปศุสัตว์ ซึ่งทำให้น้ำสกปรกก่อนที่จะไหลต่อลงมาตามภูเขา และในช่วงหน้าแล้ง ธารน้ำก็อาจไหลเอื่อยลงจนเหลือน้ำเพียงไม่กี่หยด
ณ โรงเรียนที่ลูกชายของเฮืองเข้าเรียนนั้น องค์กรเพื่อน้ำสะอาดที่ดำเนินงานในพื้นที่หลายแห่งทั่วโลกอย่าง Gravity Water ได้ติดตั้งระบบเก็บกักน้ำฝนที่ล้ำสมัยเพื่อให้ครูและนักเรียน ซึ่งหลายคนอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ มีแหล่งน้ำสะอาดที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศ โดยในปี 2023 ทาง Apple ได้มอบเงินทุนให้แก่ Gravity Water ในการจัดหาน้ำสะอาดที่ปลอดภัยให้แก่โรงเรียน 131 แห่งทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ก็สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านน้ำของ Apple ที่ต้องการแก้ปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำ คุณภาพของน้ำ และการเข้าถึงน้ำในซัพพลายเชนของบริษัททั่วโลก และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วเพื่อยกระดับการเข้าถึงน้ำ สุขอนามัย และสุขลักษณะ (Water Access, Sanitation, and Hygiene - WASH) ในพื้นที่อย่างจังหวัดฮหว่าบิ่ญก็สะท้อนให้เห็นว่าเรามีความตั้งใจในเรื่องนี้มากเพียงใด
Gravity Water ใช้แนวทางการออกแบบที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และร่วมมือกับโรงเรียนแต่ละแห่งเพื่อระบุปัญหาเฉพาะด้านที่ต้องเจอ และออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสมกับโรงเรียนแห่งนั้น ซึ่งแนวทางนี้ช่วยให้โรงเรียนรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของโซลูชั่นนั้นโดยสมบูรณ์โดยอาศัยความคุ้นเคยในระบบกักเก็บน้ำที่โรงเรียนมีอยู่เดิม ร่วมกับระบบอัตโนมัติที่ทาง Gravity Water เข้ามาช่วยดูแลให้
"เรามีการติดตั้ง 5 แห่งทุกสัปดาห์ และเราเองก็ตื่นเต้นเพราะได้เดินทางไปเยี่ยมทุกโรงเรียน และโรงเรียนแต่ละแห่งก็แตกต่างกัน" ฟาน เวียต สุง ผู้จัดการโครงการของ Gravity Water ในฮหว่าบิ่ญและเติบโตมาในจังหวัดนี้ กล่าว "การคมนาคม ระยะทางระหว่างแต่ละโรงเรียน และสภาพโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกันมาก อย่างเช่นโรงเรียนบางแห่งอาจขาดแคลนเครื่องมือ ในขณะที่บางแห่งนั้นการจ่ายน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้มั่นใจว่าการที่แหล่งน้ำจ่ายน้ำได้นิ่งหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหา แต่โรงเรียนต้องมีน้ำสะอาดไว้กินไว้ใช้ตลอดเวลา"
จังหวัดฮหว่าบิ่ญมีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมกึ่งเขตร้อน ซึ่งต้องเผชิญกับฤดูกาลที่แตกต่างกันสองฤดู โดยในช่วงที่แล้งที่สุด ซึ่งมักจะกินเวลาประมาณ 1-2 เดือน ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน จังหวัดนี้ต้องเผชิญกับภาวะภัยแล้งที่รุนแรง ส่วนฤดูร้อนก็มาพร้อมฝนตกหนัก ซึ่งในบางปีมีปริมาณน้ำฝนรวมสูงถึง 45 นิ้วเลยทีเดียว และอย่างที่หลายคนทราบดีว่าในภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุดในโลกและมีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมกึ่งเขตร้อนด้วยนั้น ฝนเป็นทั้งบ่อเกิดของธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต แต่ก็นำมาซึ่งความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน อย่างการเกิดอุทกภัยและดินถล่มรุนแรงบ่อยครั้งขึ้นในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง และยิ่งทำให้แหล่งน้ำที่มีอยู่ปนเปื้อนมากขึ้นด้วย แต่ Gravity Water หวังว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิดที่มองว่าฝนตกหนักเป็นภัยคุกคามทางสภาพภูมิอากาศ ให้กลายเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้
"หลักปรัชญาของเราคือการมองว่าน้ำฝนมีความสามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านการเข้าถึงน้ำสำหรับคนที่ขาดแคลนได้จริงๆ" Danny Wright กรรมการบริหารของ Gravity Water และเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรแห่งนี้ในปี 2016 กล่าว "การเก็บกักน้ำฝนไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเวียดนาม และจริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยด้วยซ้ำ ผมเคยแวะเวียนไปที่โรงเรียนหลายแห่งที่นำไม้ไผ่มาผ่าครึ่งเพื่อรองน้ำที่ไหลลงมาจากหลังคาเก็บใส่แทงก์แยกไว้หลายแทงก์ และเราก็มีโอกาสที่ดีมากในการนำเทคโนโลยีของเรามาปรับขยายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใหญ่ขึ้นให้แก่ชุมชนชนบทเหล่านี้"
Gravity Water ใช้วิธีต่อแทงก์น้ำขนาดใหญ่ที่ทนต่อสภาพอากาศเข้ากับชุดมิเตอร์อัจฉริยะเพื่อเฝ้าติดตามระดับการใช้น้ำบาดาลและปริมาณน้ำที่กักเก็บได้จากน้ำฝน เพื่อให้มั่นใจว่าโรงเรียนจะมีแหล่งน้ำที่ไว้ใจได้ไว้ใช้ตลอดทั้งปี และทั้งหมดนี้ยังทำงานอัตโนมัติทั้งระบบโดยอาศัยข้อมูลจากเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำเพื่อบอกว่าเมื่อใดที่ควรจ่ายน้ำ และควรจ่ายจากแหล่งใด ไปยังห้องครัว ห้องน้ำ และหอพักของโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนใช้ในการอาบน้ำและซักล้างเสื้อผ้า นอกจากนี้ทีมงานยังฝึกอบรมผู้บริหารของโรงเรียนเกี่ยวกับวิธีติดตามตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำของโรงเรียนในแต่ละเดือนด้วย จากนั้นครูก็จะนำการเฝ้าติดตามข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดในชั้นเรียนของตัวเองโดยการสร้างแบบอย่างที่ดีในการดูแลรักษาน้ำและการปฏิบัติตัวให้ถูกสุขลักษณะทั้งในบทเรียนและกิจกรรมนอกชั้นเรียนของนักเรียนในแต่ละวัน
"เรามีหลายคาบในการสอนเด็กๆ ที่นี่ว่าควรใช้น้ำอย่างไรจึงจะถูกต้อง" ฮา ถิ สึ รองอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนไวนัว กล่าว "เพราะเด็กๆ อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงสามารถเรียนรู้ว่ากว่าจะได้น้ำสะอาดนั้นต้องใช้เวลาและความพยายามมากแค่ไหน
"สำหรับพวกเราที่เป็นนักเรียนนั้น แต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อน้ำที่พวกเรามีกินมีใช้" บ่าน เทียน แอง นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ของโรงเรียนไวนัว กล่าว "ช่วงนี้เป็นหน้าแล้ง และเราก็มีน้ำที่ได้มาจากธารน้ำไม่เพียงพอ ซึ่งในบางช่วงเราถึงขั้นมีน้ำไม่พอสำหรับใช้ล้างห้องน้ำเลยด้วยซ้ำ เราจึงต้องเรียนรู้วิธีใช้น้ำอย่างประหยัด ตัวอย่างเช่น เราจะดื่มน้ำแค่ตอนที่หิวเท่านั้น และต้องดื่มให้หมดแก้วด้วย เราไม่ควรใช้น้ำอย่างสิ้นเปลืองผิดจุดประสงค์"
ณ โรงเรียนประถมและมัธยมเหี่ยนเลือง ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบฮหว่าบิ่ญ และเป็นอีกแห่งหนึ่งที่เพิ่งติดตั้งระบบของ Gravity Water นั้น ฮา ห่ง เลียน เป็นคนนำเด็กๆ ออกกำลังกายทุกวันตอนเช้าในช่วงพัก 15 นาทีระหว่างคาบเรียน และในฐานะพยาบาลประจำโรงเรียน เลียนมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของเด็กๆ
"เด็กๆ มีความสุขตลอดเวลาและมีพลังเยอะมาก" เลียนกล่าว "ทุกๆ ปี ฉันมีโปรแกรมในการสอนเด็กๆ เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และการรักษาสุขลักษณะที่ดี แต่พอถึงช่วงพักจะมีเด็กนักเรียนออกมาวิ่งเล่นกันเยอะมากและหลายคนก็หิวน้ำ ซึ่งก่อนที่จะมี Gravity Water ฉันเป็นห่วงสุขภาพของตัวเองและของเด็กๆ ที่นี่มากในเรื่องคุณภาพของน้ำ"
"แม้แต่คุณครูเองก็ต้องใช้น้ำอย่างระมัดระวัง" เลียนกล่าวต่อ "หากเราใช้น้ำเพื่อล้างผัก เราก็จะใช้น้ำนั้นเพื่อล้างจานหรือนำไปใช้ทำอย่างอื่นต่อ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ"
"เราเป็นผู้ใหญ่ จึงตระหนักรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างความปลอดภัยของเรา สุขภาพของเรา และสิ่งแวดล้อม" ฝั่ม เทียน นาม อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนเหี่ยนเลือง กล่าว "เรามีคำกล่าวในภาษาเวียดนามว่าให้กินแต่อาหารที่ปรุงสุกและดื่มน้ำที่ต้มแล้ว เราจึงอยากให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งเดียวกันนี้ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ไม่เพียงแต่มีความรู้ แต่ยังสามารถดูแลตัวเองให้ปลอดภัยด้วย"
ไม่ว่าที่โรงเรียนหรือที่บ้าน การเข้าถึงน้ำดื่มอาจมีค่าใช้จ่ายสูงในชุมชนทั่วจังหวัดฮหว่าบิญ ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 70% เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีรายได้ไม่ถึง 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จึงมีเงินไม่พอที่จะไปซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดหรือติดตั้งระบบกรองน้ำในครัวเรือน ดังนั้นการเก็บกักน้ำฝนในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่พึ่งพาธรรมชาติและคุ้มค่า ซึ่งสามารถเติมเต็มช่องว่างตรงจุดนี้ได้
"เราเปลี่ยนข้อเสียให้กลายเป็นข้อดี เราจึงมีน้ำมาเติมใส่แทงก์ของ Gravity Water และของโรงเรียนมากขึ้น" จู แทง ฮัว ผู้อำนวยการของ Gravity Water ประจำประเทศเวียดนาม กล่าว
นอกเหนือจากจังหวัดฮหว่าบิ่ญแล้ว Gravity Water ยังมีโครงการทั่วโลกที่ช่วยปรับขยายเทคโนโลยีการเก็บกักน้ำฝนให้ใหญ่ขึ้นเพื่อใช้เป็นโซลูชั่นที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศสำหรับโรงเรียนและชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง อย่างในประเทศเนปาล ระบบดังกล่าวช่วยให้ชุมชนกว่า 60 แห่งในแถบหุบเขากาฐมาณฑุสามารถเข้าถึงน้ำสะอาด ส่วนในเมืองไทเปของไต้หวัน องค์กรนี้ได้ช่วยเหลือโรงเรียน 48 แห่งและเมืองไทเปให้สามารถดำเนินงานโดยอาศัยน้ำฝนได้ หรือในมาเลเซีย เทคโนโลยีของ Gravity Water ก็ช่วยให้โรงเรียนอีก 50 แห่งสามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัย และในประเทศเม็กซิโก องค์กรได้ร่วมมือกับ Isla Urbana ซึ่งเป็นบริษัทด้านการกักเก็บน้ำฝนในท้องถิ่นที่สร้างระบบน้ำฝนให้กับพื้นที่ในเมือง ชนบท และโรงเรียน ส่วน Gravity Water เองก็กำลังรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์จากแต่ละโครงการเหล่านี้เพื่อวัดผลที่เกิดขึ้นและเฝ้าติดตามประสิทธิผลของระบบ
ภายในปี 2030 ทาง Gravity Water วางแผนที่จะเพิ่มโครงสร้างเพื่อน้ำสะอาดและปลอดภัยให้ได้ถึง 1 ล้านชุดผ่านทางโครงการต่างๆ และความร่วมมือกับสถานศึกษา โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ หรือแม้แต่ในครัวเรือน และถึงแม้เหตุการณ์จากสภาพอากาศรุนแรงจะยังคงดำเนินต่อไป และมีประชากรได้รับผลกระทบมากขึ้นทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา แต่ทางองค์กรยังคงคาดหวังจะได้เห็นอนาคตที่ชุมชนมีความผูกพันกับสิ่งแวดล้อม
"ความทรหดอดทนต่อสภาพภูมิอากาศทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนแน่นแฟ้นขึ้นและมีความเข้าใจในแหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นด้วย" Wright กล่าว "สำหรับนักเรียนรุ่นต่อไปและคนที่รับโลกนี้ไปดูแลต่อจากเรา การเข้าใจความสำคัญของการประหยัดน้ำเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำโปรแกรมการศึกษานี้มาสู่เด็กๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาได้เห็นการใช้น้ำ การเก็บกักน้ำฝน และได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องนี้จริงๆ และไม่แน่ว่าเรื่องเหล่านี้อาจช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กได้ เพราะในระหว่างที่ล้างมืออยู่ เด็กอาจพูดว่า 'เอ้อนี่ ถ้าเราปิดก๊อกนี้ บางทีเส้นกราฟนั้นอาจลดลงก็ได้ในวันพรุ่งนี้' ซึ่งเป็นสิ่งที่เราหวังว่าจะทำได้จริงๆ นั่นคือการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการคิดวิเคราะห์ว่าเราจะสร้างโซลูชั่นเพื่อช่วยสานความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร
แชร์บทความ
Media
-
เนื้อหาของบทความนี้
-
รูปภาพในบทความนี้