ข่าวประชาสัมพันธ์
13 กรกฎาคม 2565
Apple ทำลายสถิติเข้าชิง Emmy Award รวม 52 รางวัล โดยมี "Ted Lasso" ขึ้นนำในฐานะคอมเมดี้ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุด และน้องใหม่อย่าง "Severance" ก็ฝ่าวงล้อมจนยืนหยัดได้รับการเสนอชื่อในสาขาดราม่ายอดเยี่ยม
"Ted Lasso" เข้าชิง Emmy รวม 20 รางวัล ครองตำแหน่งซีรีส์คอมเมดี้ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน และยังทำผลงานโดดเด่นด้วยการเข้าชิงในสาขาด้านการแสดงอีก 10 รางวัล
"Severance" ทำผลงานเปิดตัวบนเวที Emmy โดยพาซีซั่นแรกยอดฮิตเข้าชิงรวม 14 รางวัล
Apple TV+ คว้ารายชื่อผู้เข้าชิงจาก 13 เรื่อง อาทิ "Schmigadoon!," "The Morning Show," "The Problem with Jon Stewart," "Central Park," "Pachinko," "Foundation," "Lisey's Story," "See," "They Call Me Magic" และ "Carpool Karaoke: The Series"
"Severance" ทำผลงานเปิดตัวบนเวที Emmy โดยพาซีซั่นแรกยอดฮิตเข้าชิงรวม 14 รางวัล
Apple TV+ คว้ารายชื่อผู้เข้าชิงจาก 13 เรื่อง อาทิ "Schmigadoon!," "The Morning Show," "The Problem with Jon Stewart," "Central Park," "Pachinko," "Foundation," "Lisey's Story," "See," "They Call Me Magic" และ "Carpool Karaoke: The Series"
คัลเวอร์ซิตี้ แคลิฟอร์เนีย ถือเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ในวันนี้ Apple TV+ ทำลายสถิติเข้าชิง Emmy Award รวม 52 รางวัล จาก 13 เรื่อง ในสาขาต่างๆ อาทิ ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม ซีรีส์คอมเมดี้ยอดเยี่ยม ซีรีส์หรือรายการพิเศษยอดเยี่ยมประเภทสารคดีที่มีผู้ดำเนินรายการ นักแสดงนำหญิงในซีรีส์ดราม่า นักแสดงนำชายในซีรีส์ดราม่า และนักแสดงนำชายในซีรีส์คอมเมดี้ รวมแล้ว Apple TV+ สามารถเข้าชิง Emmy Award มากขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี นับตั้งแต่การเปิดตัวทั่วโลก โดยจะมีการถ่ายทอดพิธีประกาศรายชื่อผู้ชนะ Emmy Award ครั้งที่ 73 ทางโทรทัศน์ในวันที่ 12 กันยายน 2022
"Ted Lasso" ซีซั่นสองซึ่งสร้างปรากฏการณ์ระดับโลกสามารถครองตำแหน่งซีรีส์คอมเมดี้ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดเป็นปีที่สองติดต่อกันรวม 20 รางวัล และดราม่าเรื่องใหม่ซึ่งเป็นที่ชื่นชมในวงกว้างอย่าง "Severance" ก็ทำผลงานเปิดตัวบนเวที Emmy ด้วยการเข้าชิง 14 รางวัล และได้รับการเสนอชื่อในสาขาซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยมให้กับ Apple TV+ เป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ Apple Original อย่าง "Ted Lasso," "Severance," "Schmigadoon!," "The Morning Show," "The Problem with Jon Stewart," "Foundation," "Pachinko," "See," "Lisey’s Story," "Central Park," "They Call Me Magic" และ "Carpool Karaoke: The Series" ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Emmy Award ปี 2022 อีกหลายรายการด้วย
ดาราดังจากซีรีส์ของ Apple TV+ คว้ารายชื่อผู้เข้าชิงในสาขาการแสดงถึง 18 รายการ ซึ่งรวมถึงการเข้าชิงด้านการแสดง 10 รางวัลสูงสุดจากผลงานซีซั่นสองของ "Ted Lasso" และการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาการแสดงเป็นครั้งแรกของ Adam Scott ("Severance"), Sarah Niles ("Ted Lasso"), Sam Richardson ("Ted Lasso") และ Toheeb Jimoh ("Ted Lasso") นอกจากนี้ Reese Witherspoon ยังได้รับการเสนอชื่อในสาขานักแสดงนำหญิงในซีรีส์ดราม่าเป็นครั้งแรกจากเรื่อง "The Morning Show" เคียงคู่กับนักแสดงหลักอย่าง Billy Crudup ที่ได้รับการเสนอชื่อในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่าหลังจากที่เคยได้รับรางวัลมาแล้วในซีซั่นแรก และยังมี Marcia Gay Harden ที่ได้ครองรายชื่อผู้เข้าชิงในสาขานักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่าอีกด้วย
"กลุ่มผู้เข้าชิง Emmy ที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของเนื้อเรื่องที่หลักแหลม แตกต่าง และไม่ซ้ำใคร ซึ่งเราภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอผ่านหน้าจอเมื่อปีที่ผ่านมา" Zack Van Amburn หัวหน้าฝ่ายวิดีโอทั่วโลก กล่าว "ซีรีส์แต่ละเรื่องเหล่านี้ได้จุดประกายแก่ผู้ชมให้ได้มองโลกในมุมที่แตกต่างออกไป เพื่อให้หันมาสนใจต่อภาวะความเป็นมนุษย์ในการเคลื่อนย้าย ให้แรงบันดาลใจ และโดยส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางใหม่ที่สนุกสนานอย่างมาก" เราขอขอบคุณ Television Academy และขอยกย่องทีมครีเอทีฟและเหล่านักแสดงสำหรับความสำเร็จอันสุดวิเศษในวันนี้"
"เราภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่รายการ Apple Original จำนวนมากได้รับการเสนอชื่อจาก Television Academy ในวันนี้" Jamie Erlicht หัวหน้าฝ่ายวิดีโอทั่วโลกของ Apple กล่าว "ซีรีส์เหล่านี้สร้างความประทับใจแก่ผู้ชม และเราขอยกย่องบรรดานักเล่าเรื่องผู้มีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อทุกคน และขอแสดงความยินดีกับการได้เข้าชิงรางวัลจากผลงานที่ไม่หยุดนิ่งซึ่งพวกเขาได้ปลุกให้มีชีวิตขึ้นมา"
ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่สองของ "Ted Lasso" จาก Apple ที่เข้าเกณฑ์การชิงรางวัล Emmy โดยได้ทำลายสถิติในฐานะซีรีส์คอมเมดี้หน้าใหม่ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Emmy ซึ่งตอนนี้ซีรีส์ ภาพยนตร์ และสารคดีจาก Apple Original คว้ารางวัลมาแล้วถึง 246 รางวัล และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 1,115 รายการ อย่างไม่หยุดหย่อน และยังรวมถึงผู้ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Oscar ในปีนี้อย่าง "CODA" อีกด้วย
Apple ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Emmy Award รวมทั้งสิ้น 52 รางวัล ดังนี้
"Ted Lasso" (20)
- ซีรีส์คอมเมดี้ยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Jason Sudeikis
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Brett Goldstein, Toheeb Jimoh, Nick Mohammed
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Sarah Niles, Juno Temple, Hannah Waddingham
- นักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Harriet Walter
- นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Sam Richardson, James Lance
- การเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้
- การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้
- งานออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการเชิงเล่าเรื่อง (ครึ่งชั่วโมง)
- การคัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้
- การตัดต่อภาพยอดเยี่ยมด้วยกล้องตัวเดียว (x2)
- การออกแบบทรงผมร่วมสมัยยอดเยี่ยม
- การตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น
- การผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น
"Severance" (14)
- ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Adam Scott
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: John Turturro, Christopher Walken
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Patricia Arquette
- การเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า
- งานออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการร่วมสมัยเชิงเล่าเรื่อง (1 ชั่วโมงหรือมากกว่า)
- การคัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า
- การกำกับการแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า
- การตัดต่อภาพยอดเยี่ยมด้วยกล้องตัวเดียวสำหรับซีรีส์ดราม่า (x2)
- การออกแบบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
- การประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (ดนตรีประกอบแนวดราม่า)
- เพลงหลักประกอบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
"Schmigadoon!" (4)
- เพลงและเนื้อร้องประกอบรายการยอดเยี่ยม
- การประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (ดนตรีประกอบแนวดราม่า)
- งานออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการเชิงเล่าเรื่อง (ครึ่งชั่วโมง)
- การออกแบบท่าเต้นยอดเยี่ยมสำหรับรายการที่มีสคริปต์
"The Morning Show" (3)
- นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Reese Witherspoon
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Billy Crudup
- นักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Marcia Gay Harden
"The Problem with Jon Stewart" (2)
- ซีรีส์หรือรายการพิเศษยอดเยี่ยมประเภทสารคดีที่มีผู้ดำเนินรายการ
- การเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับรายการสารคดี
"Foundation" (2)
- การออกแบบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
- เอฟเฟ็กต์ภาพพิเศษยอดเยี่ยมในซีซั่นหรือภาพยนตร์
"Pachinko" (1)
- การออกแบบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
"See" (1)
- เอฟเฟ็กต์ภาพพิเศษยอดเยี่ยมในหนึ่งตอน
"Lisey's Story" (1)
- การออกแบบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
"Central Park" (1)
- การพากย์เสียงตัวละครยอดเยี่ยม: Stanley Tucci
"They Call Me Magic" (1)
- การประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์หรือรายการพิเศษเชิงสารคดี (ดนตรีประกอบแนวดราม่า)
"Carpool Karaoke: The Series" (1)
- ซีรีส์คอมเมดี้ ดราม่า หรือวาไรตี้ขนาดสั้นยอดเยี่ยม
"Everyone but Jon Hamm" (1)
- โฆษณายอดเยี่ยม
"Carpool Karaoke: The Series"
"Carpool Karaoke: The Series" แต่ละตอนมีดาราดังที่นั่งรถไปด้วยกัน ร้องเพลงตามเพลย์ลิสต์ส่วนตัว และชวนกันออกผจญภัย ซีซั่น 5 เปิดตัวด้วย Simu Liu และ Jessica Henwick; Murray Bartlett นักแสดงหลักจาก "The White Lotus", Alexandra Daddario และ Sydney Sweeney; Anitta และ Saweetie; Zooey Deschanel และ Jonathan Scott ที่มาเจอกันครั้งแรกที่ "Carpool Karaoke"; เหล่าตัวท็อปของ All Elite Wrestling ตลอดจนครอบครัว D’Amelio
"Carpool Karaoke: The Series" เป็นรายการที่ CBS Studios และ Fulwell 73 Productions ผลิตให้กับ Apple และมี James Corden, Eric Pankowski และ Ben Winston เป็นผู้อำนวยการสร้าง เคยคว้ารางวัล Emmy มาแล้วทั้ง 4 ซีซั่นที่ผ่านมา รวมถึง Producers Guild Awards และ Critics Choice Award
"Central Park"
"Central Park" คือแอนิเมชั่นแนวละครเพลงคอมเมดี้เกี่ยวกับครอบครัว Tillermans ที่ใช้ชีวิตอยู่ใน Central Park โดยมี Owen เป็นผู้จัดการสวนสาธารณะ ส่วน Paige ภรรยาของเขาเป็นนักข่าว ทั้งคู่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ซึ่งก็คือ Molly และ Cole ในสวนสาธารณะชื่อดังของโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยขัดขวางแผนการของลูกสาวเจ้าของโรงแรมอย่าง Bitsy Brandenham กับผู้ช่วย Helen ที่จ้องแต่จะเปลี่ยนสวนสาธารณะให้กลายเป็นคอนโด โดย "Central Park" ให้เสียงโดยดาราชั้นนำอย่าง Josh Gad, Leslie Odom Jr., Daveed Diggs, Emmy Raver-Lampman, Kathryn Hahn, Tituss Burgess และ Stanley Tucci
"Central Park" คือผลงานการสร้างสรรค์ เขียนบท และอำนวยการสร้างของ Loren Bouchard ซึ่งได้รับรางวัล Emmy Award ("Bob's Burgers") ร่วมกับ Josh Gad ซึ่งได้รับรางวัล Grammy Award ("Frozen") และ Nora Smith ซึ่งได้รับรางวัล Emmy Award ("Bob's Burgers") โดยมี Steven Davis และ Kelvin Yu รับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการถ่ายทำและผู้อำนวยการสร้าง และ 20th Television Animation ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Disney Television Studios เป็นผู้ผลิตซีรีส์เรื่องนี้ให้แก่ Apple
"Foundation"
จากนิยายชนะรางวัลของ Isaac Asimov พร้อมด้วยดารานักแสดงระดับสากลนำโดย Jared Harris และ Lee Pace ที่รับบทเคียงคู่กับดาวรุ่งอย่าง Lou Llobell และ Leah Harvey มาสู่เรื่องราวของ "Foundation" ผลงานดัดแปลงที่ต้องจารึกไว้เกี่ยวกับบุคคลสำคัญ 4 คน ที่ก้าวข้ามอวกาศและกาลเวลา โดยต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติเสี่ยงตาย การแปรพักตร์ และความสัมพันธ์อันซับซ้อนซึ่งจะกำหนดชะตากรรมของมวลมนุษย์ ดราม่า Apple Original เรื่องนี้ยังได้ดาราดังอย่าง Laura Birn, Terrence Mann และ Cassian Bilton มาร่วมแสดงอีกด้วย
"Foundation" ได้ David S. Goyer เป็นผู้ควบคุมการถ่ายทำและผู้อำนวยการสร้าง และผลิตให้กับ Apple โดย Skydance Television พร้อมด้วย Robyn Asimov, Josh Friedman, Cameron Welsh, David Ellison, Dana Goldberg และ Bill Bost ที่รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างซีซั่น 1 ของซีรีส์เรื่องนี้
"Lisey’s Story"
จากนิยายขายดีของ Stephen King และดัดแปลงโดยเจ้าตัว มาสู่ซีรีส์ "Lisey's Story" สุดระทึกสะเทือนขวัญที่เผยถึงชีวิตของ Lisey Landon (Julianne Moore ซึ่งได้รับรางวัล Academy Award) หลังจาก 2 ปี ที่ Scott Landon (Clive Owen ซึ่งเข้าชิงรางวัล Academy Award) ผู้เป็นสามีและเป็นนักแต่งนิยายชื่อดังได้เสียชีวิตลง เหตุการณ์สะเทือนใจหลายอย่างทำให้ Lisey ต้องเผชิญกับความทรงจำเกี่ยวกับ Scott ที่เธอตั้งใจปิดกั้นเรื่องราวชีวิตการแต่งงานในอดีตเอาไว้ อีกทั้งยังได้ดาราดังอย่าง Joan Allen, Jennifer Jason Leigh และ Dane DeHaan ที่มาร่วมแสดงเคียงคู่กับ Moore และ Owen ด้วย
"Lisey’s Story" เป็นซีรีส์สั้นจบในตัวจาก Apple Original ซึ่งกำกับโดย Pablo Larraín และเป็นผลงานของ J.J. Abrams’s Bad Robot Productions และ Warner Bros Television โดยได้ทั้ง King, Moore และ Larraín มาช่วยอำนวยการสร้างเคียงคู่กับ Abrams, Ben Stephenson และ Juan de Dios Larraín อีกทั้ง King ยังเป็นผู้เขียนบทซีรีส์เรื่องนี้ในแต่ละตอนด้วยตัวเองอีกด้วย
"The Morning Show"
หลังจากที่ซีซั่น 1 เกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างหนัก มาถึงซีซั่น 2 ที่ทีม "The Morning Show" ต้องกอบกู้ซากปรักหักพังจากการกระทำของ Alex (Jennifer Aniston) และ Bradley (Reese Witherspoon) ไปสู่ UBA ในยุคใหม่และโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นยุคที่ตัวตนคือทุกสิ่ง และรอยแยกระหว่างตัวตนหน้าฉากและตัวตนที่แท้จริงของเราเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมาก นอกจาก Aniston และ Witherspoon แล้ว ยังมีนักแสดงชื่อดังอีกมากมาย อาทิ Billy Crudup, Mark Duplass, Nestor Carbonell, Karen Pittman, Bel Powley, Desean K. Terry, Janina Gavankar, Tom Irwin และ Marcia Gay Harden รวมถึงที่มาใหม่ในซีซั่น 2 อย่าง Greta Lee, Ruairi O’Connor, Hasan Minhaj, Holland Taylor, Tara Karsian ที่รับบทเป็น Gayle Burns โปรดิวเซอร์ข่าว, Valeria Golino และ Julianna Margulies
ซีรีส์เรื่องนี้ควบคุมการถ่ายทำโดย Kerry Ehrin และอำนวยการสร้างโดย Michael Ellenberg ผ่านทาง Media Res ซึ่งยังรับหน้าที่เป็นสตูดิโออีกด้วย และยังร่วมมือกับ Aniston และ Kristin Hahn ผ่านทาง Echo Films ตลอดจน Witherspoon และ Lauren Neustadter ผ่านทาง Hello Sunshine และยังได้ Mimi Leder มารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วยเช่นกัน
"Pachinko"
"Pachinko" พูดถึงความหวังและความฝันของครอบครัวผู้อพยพชาวเกาหลี 4 รุ่น ที่ต้องจากผืนแผ่นดินแม่มาผจญชีวิตอย่างตรากตรำเพื่อเอาชีวิตให้รอดพ้นไปได้ในแต่ละวัน เหตุการณ์เริ่มต้นที่เกาหลีใต้ในช่วงต้นยุค 1900 ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านสายตาของ Sunja หญิงชราผู้นำครอบครัวที่ไม่เคยกลัวโชคชะตา
"Pachinko" เป็นผลงานการเขียนบทและอำนวยการสร้างโดย Soo Hugh ("The Terror," "The Killing") ซึ่งรับหน้าที่ในการสร้างซีรีส์และควบคุมการถ่ายทำ โดยมี Kogonada และ Justin Chon เป็นผู้อำนวยการสร้างและช่วยกันกำกับคนละ 4 ตอน อีกทั้งยังได้ Michael Ellenberg และ Lindsey Springer ที่อำนวยการสร้างให้กับ Media Res ซึ่งเป็นสตูดิโอเบื้องหลังซีรีส์เรื่องนี้, Theresa Kang-Lowe ที่อำนวยการสร้างให้กับ Blue Marble Pictures ตลอดจน Richard Middleton ที่มารับหน้าที่อำนวยการสร้างด้วยเช่นกัน พร้อมด้วย David Kim และ Sebastian Lee ที่อำนวยการสร้างร่วมกัน
"The Problem with Jon Stewart"
Jon Stewart ซึ่งเป็นทั้งพิธีกร นักเขียน ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ และนักเคลื่อนไหวชื่อดัง รวมถึงเป็นผู้รับรางวัล Mark Twain Prize for American Humor ประจำปีนี้ ได้นำพาให้เราได้ดำดิ่งสู่ปัญหาบางส่วนที่ฝังรากลึกมานานในยุคนี้ผ่านซีรีส์ Apple Original ด้วยความเข้าอกเข้าใจและอารมณ์ขัน โดย "The Problem with Jon Stewart" จะชวนไปสำรวจปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การดูแลทหารผ่านศึกและหลุมเผาขยะ การรักษาอิสรภาพของบุคคล การบรรลุความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจอเมริกัน ตลาดหุ้น สื่อกระแสหลักและการเร้าอารมณ์ ตลอดจนวิกฤติปืนของอเมริกา ผ่านมุมมองที่หลากหลายของผู้เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญ และบุคคลต่างๆ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้
"The Problem with Jon Stewart" ดำเนินรายการและอำนวยการสร้างโดย Stewart ผ่านทาง Busboy Productions ของเขาเอง ซีรีส์เรื่องนี้ยังได้ Brinda Adhikari ซึ่งเป็นผู้ควบคุมการถ่ายทำมารับหน้าที่อำนวยการสร้างเคียงคู่ไปกับ James Dixon ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Stewart มายาวนาน, Chris McShane และ Richard Plepler ผ่านทาง EDEN Productions ของเขาเอง ซึ่งได้ทำข้อตกลงด้านการผลิตโดยรวมไว้เป็นพิเศษกับ Apple และยังได้ Lorrie Baranek มาช่วยดูแลเรื่องการอำนวยการสร้าง โดยมี Kris Acimovic เป็นหัวหน้าผู้เขียนบท
"Schmigadoon!"
"Schmigadoon!" ที่ล้อเลียนละครเพลงชื่อดัง เป็นซีรีส์คอมเมดี้แนวละครเพลงเรื่องใหม่รับบทโดย Cecily Strong ที่เข้าชิง Emmy Award และ Keegan-Michael Key ซึ่งได้รับรางวัล Emmy Award โดยทั้งคู่ต้องคอยประคับประคองความสัมพันธ์ตลอดทริปแบ็คแพ็คระหว่างที่ค้นพบเมืองมหัศจรรย์ที่ซึ่งทุกคนอาศัยอยู่ในสตูดิโอละครเพลงจากยุค 1940 และพบว่าพวกเขาไม่สามารถออกจากดินแดนแห่งนี้จนกว่าจะได้เจอกับ "รักที่แท้จริง"
ซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานของ Broadway Video และ Universal Television ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ Universal Studio Group โดย "Schmigadoon!" มี Cinco Paul และ Ken Daurio เป็นผู้ร่วมสร้าง ซึ่ง Paul รับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการถ่ายทำและแต่งเพลงประกอบซีรีส์ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ได้ Lorne Michaels และ Andrew Singer มารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง, Micah Frank เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม และยังได้ Cecily Strong และ Caroline Maroney มาช่วยควบคุมการสร้างอีกด้วย
"See"
"See" เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตที่โหดร้ายและป่าเถื่อน โดยเกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากที่มนุษยชาติสูญเสียความสามารถในการมองเห็น โดยในซีซั่น 3 เวลาผ่านไปเกือบปีนับตั้งแต่ Baba Voss (Jason Momoa) เอาชนะ Edo ผู้เป็นพี่ชายที่สุดแค้น และได้กล่าวลาครอบครัวเพื่อแยกไปใช้ชีวิตห่างไกลในป่า แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ Trivantian ได้พัฒนาอาวุธทำลายล้างรูปแบบใหม่ที่กำหนดพิสัยได้ซึ่งคุกคามอนาคตของมวลมนุษย์ ดังนั้น Baba จึงหวนกลับสู่ Paya เพื่อปกป้องชนเผ่าของตัวเองอีกครั้ง
"See" อำนวยการสร้างโดย Steven Knight, Francis Lawrence, Peter Chernin, Jenno Topping, Jim Rowe, Jennifer Yale, Anders Engström และ Jonathan Tropper ซึ่งยังรับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการถ่ายทำอีกด้วย โดยมี Chernin Entertainment และ Endeavor Content เป็นผู้รับหน้าที่ผลิตซีรีส์เรื่องนี้
"Severance"
ซีรีส์เรื่อง "Severance" มี Mark Scout (Adam Scott) เป็นหัวหน้าทีมที่ Lumon Industries ซึ่งพนักงานต้องเข้ารับการผ่าตัดแยกสมองที่จะแบ่งความทรงจำออกจากกันระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว การทดสอบสุดท้าทายในเรื่อง "ความสมดุลของการทำงานและชีวิตส่วนตัว" สร้างความแคลงใจให้แก่ Mark ที่พบว่าตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งปริศนาที่กำลังจะคลี่คลายและทำให้เขาต้องเผชิญกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานและชีวิตของตนเอง
"Severance" เขียนบทและสร้างโดย Dan Erickson โดยมี Mark Friedman, Chris Black, John Cameron และ Andrew Colville เป็นผู้อำนวยการสร้างเคียงคู่กับ Erickson อีกทั้งยังได้ Ben Stiller, Nicky Weinstock และ Jackie Cohn มาอำนวยการสร้างผ่าน Red Hour Productions และได้ทั้ง Patricia Arquette และ Adam Scott รับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการสร้าง โดยมี Endeavor Content ช่วยดูแลในฐานะสตูดิโอ
"Ted Lasso"
Jason Sudeikis รับบทเป็น Ted Lasso โค้ชอเมริกันฟุตบอลที่เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลอังกฤษ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ถึงจะไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่สิ่งที่เขามีให้แบบเต็มๆ ก็คือการมองโลกในแง่ดี ความใจสู้แบบทีมรอง และ... บิสกิต แล้วยังมี Hannah Waddingham, Brendan Hunt, Jeremy Swift, Juno Temple, Brett Goldstein, Phil Dunster และ Nick Mohammed มาร่วมแสดงในซีรีส์ที่ได้รับคำชมมากมายเรื่องนี้ด้วย
นอกจาก Sudeikis จะนำแสดงในเรื่องนี้แล้ว เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างคู่กับ Bill Lawrence ผ่าน Doozer Productions ของตนเอง ร่วมกับ Warner Bros. Television และ Universal Television ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ Universal Studio Group นอกจากนี้ยังมี Jeff Ingold จาก Doozer เป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยมี Liza Katzer เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม ซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานของ Sudeikis, Lawrence, Brendan Hunt และ Joe Kelly โดยอ้างอิงจากรูปแบบและตัวละครที่มีอยู่เดิมจาก NBC Sports
"They Call Me Magic"
"They Call Me Magic" นำเสนอชีวิตจริงอันน่าทึ่งที่หาชมได้ยากของ Earvin “Magic” Johnson ที่ฝากผลงานจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ทั้งในและนอกสนาม และยังคงมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของเราในปัจจุบัน ซีรีส์เชิงสารคดีที่มีเนื้อหาซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเรื่องนี้พาคุณออกสำรวจการเดินทางอันน่าทึ่งของ Magic เริ่มตั้งแต่การเป็นหน้าตาของ Los Angeles Lakers จนจารึกผลงานไว้ในฐานะตำนานตลอดกาลของ NBA ตลอดจนการพลิกมุมมองต่อ HIV และการก้าวสู่ผู้ประกอบการและนักกิจกรรมเพื่อชุมชนที่ประสบความสำเร็จ จากชีวิตที่อัตคัดในช่วงต้นของ Magic ที่แลนซิง มิชิแกน จนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนโลกที่สำคัญในวันนี้ กล่าวได้ว่า "They Call Me Magic" ได้ตีแผ่ชีวิตของบุคคลที่สำคัญที่สุดทางวัฒนธรรมคนหนึ่งออกมาเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์เหตุการณ์เชิงสารคดีที่หลายคนเฝ้ารอจะพาคุณออกสำรวจความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมและอิทธิพลระดับโลกจากชีวิตของ Johnson ทั้งในและนอกสนาม
XTR และ New Slate Ventures เป็นผู้ผลิตซีรีส์เชิงสารคดีเรื่องนี้ให้แก่ Apple โดยเป็นการผลิตภายใต้ความร่วมมือกับ h.wood Media และ Delirio Films ซึ่งกำกับผลงานโดย Rick Famuyiwa ("Dope") และกำกับภาพโดย Rachel Morrison ("Black Panther")
รายการทั้งหมดสามารถรับชมได้ผ่าน Apple TV+ ในขณะนี้
แชร์บทความ
Media
-
เนื้อหาของบทความนี้
-
รูปภาพในบทความนี้